Alyosha Wiengpong, Untitled and Translated

By , and | 1 February 2017

Untitled

Bound and syntaxed, threads of words in books transfix me
Create their own being, slither like snakes
Leave a crust of slough upon the flat dry tussock grass
The skin thrilled, covered with tired letters
Only the backbone precarious, grammatically spineless
On the footpath I chase and pickpocket pedestrians
among the traffic, disorderly, all over the road
Then, one spirited night, rejoicing in the play of gentle rain
I become a white bird soaring high
transformed in the sky, reflected and captured in a lake.

Night ripples away late in the mind’s eye.
I put the lanterns to paper
Try to turn the darkness into poetry
Recline in a micro-sleep of superdreams
On a mattress of dark foreboding
White down falls like snow
from the tips of slender wings, claws huge and hooked beaks.
I think to myself, is that really the One daring to be different?
All those fat yellow worms fallow the fall and tumble down.
Nauseated I leer as my feet carefully stamp them flat
And so what, just look at the full moon hanging up there
Bloated, swollen like an overripe fruit.

*

Desktop topography of a weird country
With its mountains of books, knowledge and learning
The pens slanting like a flagpole without a flag
A box of pipe tobacco, a monument of flowerpots.

Finally, I imagine a miraculous evening
A dinner reception for poets and literary characters
Rimbaud, Celan, Don Quixote
Deep conversation among the light of the stars
There is no music more melodious than the sound of poets
singing together like crickets
Lulling this land into peace
My imagination overflowing
Deaf and dumb to the music of flowers
Against the cruel angry eyes of the law
On the lookout shit-scared of the thieves’ boss
The hands kowtowing on keyboards
Cutting deep wounds into the poet’s left breast
Lips brimming with saliva
Laughter and arrogance of the intellectual
Stuffing the gravel of words and concepts down someone’s throat
From blood on the roads to repaved perfection
Twisted journalism
A wedge driven into the convulsive brain.

Look at this swamp full of lies, the pirouetting politicians
Piles of lonely bones in a chasm of false security
Tear drops brutally seduced, raped by the supremo’s words
What are they worth: the castles and watchtowers, the useless adjectives,
To the anonymous and down-trodden
Squeezed from a no-brand toothpaste tube?
Extraordinary feats of leadership
Secret names of the temporarily employed

Soon, words are transformed into a gang of monkeys
Leaping out from the pages of the newspaper
Shrieking, teeth gnashing
Snatching a pistol I’d left between the lines
Uprooting the roses I’d planted between the sentences
They bite Goethe in the neck, steal fire from Prometheus
Then escape through the window
In the end, I can only join Neruda in his lament:
“I do not know, I never know which bullet will pierce through which heart
I cannot tell which rose will belong to which hand
I do not know how to ask for my return.”

(Deep dark red flames flash signs far over the horizon)

(The peal of distant thunder)


ประโยคในหนังสือตรึงรัดร่างฉัน
มันสร้างชีวิตขึ้นเองและลดเลื้อยได้ดั่งงู
เหลือไว้เพียงคราบแห้งกรังและพงหญ้าแหลกราบ
ผิวหนังเปรอะด้วยอักขระและกระดูกสันหลังอันง่อนแง่นแห่งไวยากรณ์
มันไล่ฉกผู้คนบนทางเท้า เขมือบยวดยานบนท้องถนน
ค่ำหนึ่ง, มันเริงเล่นสายฝน
แล้วพลันกลับกลายเป็นนกสีขาว
บินขึ้นจากท้องฟ้าในแอ่งขัง
 
เมื่อดึกเคลื่อนสู่ดวงตา, ฉันเขียนโคมไฟ
ด้วยปรารถนาบันดาลกลางคืนให้เป็นราตรี
แค่เพียงนาทีในหลับพักพริ้มอันฟูฟ่องของฟูกนอนแห่งมืดมนอนธกาล
ปุยขนสีขาวร่วงโปรยช่างหนาวเหน็บ
ทั้งเรียวปีก จงอยปากและกรงเล็บ
คือนกที่โบยบินผ่าเผยตัวนั้นหรือ?
เหล่าหนอนอวบเหลืองที่ตกร่วงตามช่างชวนสะอิดสะเอียน
ฉันแสยะยิ้ม, ค่อยกดปลายเท้าบดขยี้
ก็นั่นกระไรพระจันทร์แขวนดวง
ฉุบวมเหมือนผลไม้เน่า

*
 
ผืนโต๊ะดั่งภูมิประเทศที่ดูประหลาด
ภูเขาเลากาแห่งหนังสือ
ปากกาปักตั้งโอนเอียงดั่งเสาที่ไร้ผืนธง
จัตุรัสแห่งกล่องยาเส้น
อนุสาวรีย์แห่งแจกัน
ที่สุด, ฉันเนรมิตราตรีมหัศจรรย์!
เป็นงานเลี้ยงที่แขกรับเชิญคือเหล่ากวีและตัวละครในวรรณคดี
แรงโบด์, เซลาน, ดอน กีโฮเต้…
ท่ามแสงดาว, ถ้อยสนทนาลึกซึ้งคมคาย
และดนตรีใดเล่าจักไพเราะไปกว่าเพลงของแมลงกลางคืน
ที่ขับกล่อมดินแดนแสนสงบนี้ จินตนาการฉันไหลหลั่ง
 
แล้วฉันเขียนถึงสันติภาพที่หนวกใบ้ต่อเสียงดนตรีดอกไม้
ถึงดวงตาขมึงทึงของกฎหมายที่เกรี้ยวโกรธต่อการจ้องมองกลับมาของหัวขโมย
ถึงมือที่หมอบคลานไปบนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์
ถึงบาดแผลตรงอกด้านซ้ายของกวีที่ไหลเยิ้มด้วยฟองน้ำลาย
ถึงเสียงหัวเราะของนักคิดที่ดังโครกครากเพราะศัพท์แสงดั่งกรวดหินในลำคอ
ถึงเลือดบนถนนที่ถูกปิดทับด้วยข่าวบิดเบือนในหน้าหนังสือพิมพ์
ถึงลิ่มสมองที่ทะยานเลื่อนไหลไปสู่บ่อคำโกหกของหุ่นชักนักการเมือง
ถึงกองซากกระดูกเดียวดายก้นหุบเหวความมั่นคงจอมปลอม
ถึงหยดน้ำตาที่ถูกคำวิเศษณ์หื่นห่ามกระทำชำเรา
ถึงราชวังและหอคอยที่ถูกสร้างขึ้นด้วยคำคุณศัพท์ไร้ค่า
ถึงฝูงชนที่ถูกกระทืบบี้แบนเหมือนหลอดยาสีฟันด้วยวิสามานยนามอันมิกล้าเอ่ยนามฯลฯ
 
แต่พลันถ้อยคำทั้งหลายกลายเป็นฝูงลิง!
เผ่นโผนจากหน้ากระดาษ
กรีดร้องและเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
มันฉวยปืนที่ฉันวางลืมไว้ระหว่างบรรทัด
ทึ้งถอนกุหลาบที่ฉันปลูกระหว่างวรรค
กัดเกอเธ่ที่คอ, ขโมยไฟจากโพรมิธุส
แล้วกระโจนหนีทางหน้าต่าง
สุดท้าย, ฉันได้แต่คร่ำครวญกับเนรูด้า-
ฉันไม่รู้, ฉันไม่รู้ว่ากระสุนนั้นจะพุ่งทะลุอกผู้ใด
ฉันไม่รู้ว่ากุหลาบดอกนั้นจะไปสู่มือใคร
ฉันไม่รู้, จะเรียกมันคืนมาได้อย่างไร

(เปลวไฟวาบเลียขอบฟ้าแดงก่ำแลเห็นไกล…)

(เสียงเปรี้ยงปังดังห่างออกไป…)

This entry was posted in TRANSLATIONS and tagged , , . Bookmark the permalink.

Related work: